วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

5 ข้อกังวล ต่อรัฐบาลต่อการเพิ่มจำนวนสลาก

         ตามที่มีข่าวว่า สำนักงานสลากฯ มีนโยบายเพิ่มปริมาณการพิมพ์สลากเข้าสู่ระบบอีก 10 ล้านฉบับ หรือเท่ากับ 5 ล้านคู่ต่องวด เริ่มตั้งแต่งวดวันที่ 30 ธ.ค. 2559 นี้ ส่งผลให้ภาพรวมสลากงวดวันที่ 30 ธ.ค. 2559 เพิ่มจาก 120 ล้านฉบับ หรือ 60 ล้านคู่ เป็น 130 ล้านฉบับ หรือ 65 ล้านคู่.เพื่อแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา และการกระจายโค้วต้าสลากนั้น ตามข่าวที่ออกมานั้น   จึงมีข้อกังวลที่อาจจะชวนคิด ต่อรัฐบาล 5 ประเด็นดังนี้

       
ข้อกังวลข้อที่ 1   รัฐบาลมีแนวคิดอย่างไร ต่อการจัดการสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสังคม
สลากกินแบ่งเป็นการพนัน แม้ว่าจะเป็นการพนันแบบอ่อนที่ส่งผลกระทบน้อยกว่าการพนันชนิดอื่นๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นสินค้าที่รัฐต้องควบคุม เพื่อป้องกันและลดผลกระทบเช่นเดียวกับอบายมุขอื่นๆสำนักงานสลากฯ เพิ่มสินค้าในท้องตลาด  รัฐบาลก็ต้องมีนโยบายหรือมาตรการรณรงค์ออกมารองรับ เช่นเดียวกับอบายมุขอื่นๆ ที่มีการควบคุมและป้องกันผลกระทบจากการบริโภคจำนวนมาก

      ข้อกังวล ข้อที่ 2 ความจริงใจของรัฐบาลกับการป้องกันและลดผลกระทบการพนันมีจริงหรือไม่  
รัฐบาลมีนโยบายที่ไม่ต้องการส่งเสริมคนเล่นการพนัน และได้มีแนวนโยบายเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการพนัน ดังคำสั่งหัวหน้า คสช ที่ 11/ 2558 เรื่องมาตรการแก้ไขการจำหน่ายสลากเกินราคา และมีการกำหนดให้จัดตั้งกองทุนสลากเพื่อพัฒนาสังคม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกัน สร้างความตระหนักและลดผลกระทบจากการพนัน ซึ่งต้องชื่นชมต่อแนวคิดดังกล่าว แต่ปรากฏว่าผ่านไป1 ปี ก็ยังไม่มีผลงานเชิงประจักษ์ และไม่ปรากฏว่ารัฐบาลได้ติดตามความก้าวหน้าเรื่องดังกล่าว ในขณะที่การเพิ่มจำนวนสลากเพิ่มขึ้นเรื่อย

      ข้อกังวลข้อที่ 3 การพิมพ์สลากเพิ่มอีกเป็น 130 ล้านฉบับจะถือเป็นการจารึกผลงานของรัฐบาลหรือไม่
 รัฐบาลจะมองตัวเองย้อนหลังอย่างไรผ่านไป 5 ปี  ว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่แก้ไขปัญหาโดยเพิ่มโควต้าสลาก เรื่อยๆถึง130 ล้านฉบับ เป็นเท่าตัว จาก 2-3 ปีที่ผ่านมา   ท่านจะภูมิใจต่อการได้ถูกจารึกไว้อย่างนี้หรือไม่

     ข้อกังวลข้อที่ 4 รัฐบาลมองอนาคตการแก้ปัญหาเรื่องการพนันในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างไร
 รัฐบาลมองอนาคตของเด็กและเยาวชนอย่างไร  ต่อการที่ปล่อยให้ผลิตภัณฑ์สลากขยายตัวทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะข้อจำกัดในการแก้ไขปัญหา และละเลยมาตรการลดผลกระทบอย่างจริงจัง เด็กและเยาวชนก็ซึมซับว่าการพนันขยายเต็มเมืองโดยที่ผู้บริหารไม่สนใจแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบ

       ข้อกังวลข้อที่ 5 การนำพาประเทศไทยไปสู่ Thailand 4.0 คืออะไร
 รัฐบาลบอกว่าจะพาประเทศไทย เป็น Thailand 4.0 ซึ่งแน่นอนว่าเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์  การเพิ่มผลิตภัณฑ์ การพนัน เป็นสินค้าที่มอมเมาประชาชนทุกวันที่1 และวันที่ 16 ให้คอยดูเลขทะเบียนรถบุคคลสำคัญคอยลุ้นตัวเลขจากต้นไม้ต่างๆ  ปรากฏการณ์เหล่านี้แม้จะแก้ไขโดยยาก แต่รัฐบาลเอง ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย ให้เกิดภาพแบบนี้ต่อไป

 5 กังวลเกิดขึ้นเพื่อเป็นการถามทิศทางและความชัดเจนจากนโยบายลดปัญหาการพนันให้สังคมไทย และเพื่อกระตุ้นรัฐบาลต่อกรณีแนวทางสำนักสลากในการเพิ่มจำนวนการพิมพ์ ทั้งนี้รัฐบาลอยู่ในฐานะที่ต้องปกป้องคุ้มครองประชากรของตนเองซึ่งต้องคอยทำงานเชิงรุกควบคู่กันด้วยมาตรการที่รัฐบาลป้องกันการพนันหลายอย่างๆ ทั้งนี้ข้อดำเนินการหลายข้อในปัจจุบันอยู่ในหลักการที่ดีอยู่แล้ว แต่ขาดการปฎิบัติและติดตามอย่างจริงจัง จากนี้จึงเสนอขอให้รัฐบาลทบทวนการดำเนินการในแนวนโยบายต่างๆเพื่อลดปัญหาการพนันอย่างเข้มข้นอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยคุ้มครองเด็กและเยาวชนไทยให้พ้นจากผลกระทบของปัญหาการพนันในประเทศไทยที่เป็นภัยเงียบอยู่ในทุกวันนี้  


วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รีวืวหนังสือ :ช่างเชื่อมความรู้




"ช่างเชื่อมความรู้" มีด้วยเหรอช่างนี้ ทำอะไรหนอ 
 เหมือนช่างเชื่อมโลหะ  ช่างประปา ช่างกล ไหม จบจากที่ไหนกัน 
 คำถามนี้ อาจจะเกิดขึ้นเมื่อขึ้นเห็นหน้าปกหนังสือเล่มนี้ 

ถ้าจะตอบ (จากคำถามที่ตั้งขึ้นมาเอง) 
ความเหมือนกันอยู่ที่ การเป็นคนกลาง ที่เชื่อมระหว่างสิ่งหนึ่งกับสื่งหนึ่ง
เหมือนกันช่างเหล็ก ที่ต้องเชื่อม เหล็กอีกเส้นกับอีกเส้น หรือหลายเส้น 
ให้เป็นรูปร่างตามต้องการ หรือตามประโยชน์ที่จะใช้ 

สรุปช่างเชื่อมคือ 
1) มีคนกลาง ที่มีความสามารถ เข้าใจสิ่งที่จะเชื่อมได้
2) มีวัตถุที่จะเชื่อม จะเหมือนกันหรือต่างกัน
3) มีเป้าหมาย ของการใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้น
4) มีวิธีการที่จะเชื่อมวัตถุนั้นๆ เข้าด้วยกัน เหมือนช่างเหล็ก ก็ต้องมีเครื่องเชื่อม มีคีม มีหน้ากากกันไฟ เป็นต้น

แล้้วถ้าเป็นช่างเชื่อมความรู้ ล่ะ ทำอย่าง
เอาหนังสือ สองเล๋มมาประกอบกัน  เป็นชั้นๆๆ ........
ไม่ใช่แน่ อย่างนั้นต้องเรียกว่า ช่างเชื่อมหนังสือ ฮุๆๆๆ
ก่อนจะไปกันใหญ่ กลับมาที่หนังสือเล่มนีั้ ก่อน

ในหนังสือ บอกถึงบทบาทของช่างเชื่อมความรู้ ไว้ดังนี้
       "การมีคนกลางมาเชื่อมต่อระหว่างผู้ให้ทุนและนักวิจัย" จะมีความแตกต่างจากการ "จัดการงานวิจัย"
ผ่านการให้ทุนแก่นักวิจัยอย่างที่เคยผ่านมาและรูปแบบการทำงานที่มีบทเรียนที่น่าสนใจอย่างไร
ทั้งในแง่แนวคิด วิธีปฏิบัติ   และผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะมองจากมุมของความรู้ที่เพิ่มขึ้น และการกำหนดนโยบาย"
   

สรุปเนื้อหาย่อในหนังสือ ประกอบด้วย
1) การเป็นคนกลางเชื่อมให้งานวิจัยต่างจากที่เป็นมา
2) เชื่อมความรู้ จากการวิจัย และนโยบาย  ,
3) มีเป้าหมาย เพื่อ เพื่อเพิ่มความรู้และการกำหนดนโยบาย
4) มีบทบาทในการเชื่อมต่อ ระหว่างผู้ให้ทุนและนักวิจัย


แล้วต้องทำอะไร ถึงจะเป็นช่างเชื่อมความรู้
ในหนังสือ  ได้สรุปประสบการณ์ และกระบวนการ ที่ มสช.ใช้ในฐานะคนกลาง
ที่เข้ามาเชื่อมความรู้ระบบบริการปฐมภูมิและส่งต่อระดับนโยบาย

รายละเอียดพอสังเขป
     1) คนกลางต้องรู้อะไร  ช่างเชื่อมความรู้ ก็ต้องเข้าใจปรัชญาพื้นฐานของการเชื่อมประสาน หรือที่  NGOs ส่วนหนึ่งรู้จัก สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ของอาจารย์ประเวศ วะสี ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ โครงสร้างการกลุ่มคน ที่อาจารย๋บอกว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาสังคมได้ ประกอบไปด้วย นักวิจัย  ภาคประชาสังคม และผู้กำหนดนโยบาย
      2) สิ่งที่ต้องเชื่อม ซึ่งไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นความรู้ ที่มาจาก 3 แหล่ง คือ  1)กลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องนั้น หนังสือใช้คำว่าคณะทำงาน  , 2)นักวิชาการและนักวิจัย  3) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย   เพื่อจะดูว่าใครเกี่ยวข้องตรงไหนอย่างไร  (สำหรับผู้เขียน เห็นว่า ด้วยบทบาทของทั้งสามกลุ่ม จะส่งผลต่อการเลือกความรู้ให้ตรงกับความต้องของตนเอง)
   3)  เป้าหมายที่จะเชื่อม คือ การกำหนดนโยบาย ในหนังสือเล่าถึงประสบการณ์และความความสำเร็จในการนำความรู้ไปสู่การกำหนดนโยบาย  ซึ่งหนังสือได้เล่าให้ถึง ความสำเร็จของเป้าหมาย คือ ความรู้ ถูกนำไปใช้เป็นนโยบายได้ทันที   2) ความรู้ที่ได้ต้องถูกนำไปเจรจาต่อรอง เพื่อไปกำหนดเป็นนโยบาย  และ  3)  ความรู้ถูกเพิกเฉยไม่ได้นำไปใช้ในการกำหนดนโยบาย   ในท้ายเล่มหนังสือมีบอกถึงเคล็ดลับเพื่อเชื่อมความรู้ให้มีประสิทธิภาพ

    4) วิธีการเชื่อมต่อ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ขั้นตอน คือ 1)การสร้างภาพอนาคตเดียวกัน ของคณะทำงานหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง   2) เสาะหาความรู้  3)เปิดพื้นที่การสื่อสาร  4)ผลิตและรวบรวมความรู้เพิ้มเติม 5) เชื่อมสังเคราะห์ สร้้างภาพใหญ่ของชุดความรู้

       ในหนังสือ ยังบอกเคล็ดลับ ต่าง ๆ ของการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้  ซึ่งมีเคล็ดลับ อยู่้  4 ข้อ คือ
1)จัดกลุ่มผู้เข้าร่วมตามประสบการณ์และความสนใจ ให้คนสนใจจริงเรื่องเดียวกัน อยู่กลุ่มเดียวกัน  2)ทำให้เป็นเวทีแห่งมรรค มิใช่ทุกข์   3) มีผู้ควบคุมเวทีที่ซื้อใจและศรัทธาจากทุกคนได้  4) การกำหนดบทบาทผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

      อ่านมาถึงตรงนี้ แล้ว ก็น่าจะพอเห้นประโยชน์ของหนังสือฉบับนี้ ล่ะ สำหรับคนที่ทำงานเชื่อมประสานการพัฒนาต่่าง หนังสือฉบับนี้ น่าจะพอเป็นประโยชน์ และแนวทางในการทำงานนะครับ



หนังสือ  ช่างเชื่อมความรู้ หลักฐานทางวิชาการสู่นโยบาย
กรณีศึกษาการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ 
ผู้เขียน : เพ็ญนภา หงษ์ทอง 
ปีที่ พิมพ์ 1 กุมภาพันธ์ 2554
จัดพิมพ์และเผยแพร่โดยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ 

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ดูหนังแล้วคิดดังๆ :การจัดการนโยบายคือการจัดการคน

ดูหนังแล้วคิดดังๆ
Madam secretary ....ยอดหญิงแห่งทำเนียบขาว
ซีรีย์ เกี่ยวกับ การทำงานของรัฐมนตรี ต่างประเทศ .สหรัฐ
เรื่องราวในแต่ละตอน เป็นการเล่าให้เห็นถึงการทำงานหลังบ้าน เพื่อให้ได้งานหน้าบ้านได้ตามเป้าหมาย
นโยบาย ต่างประเทศ หลายเรื่อง สำเร็จได้
1 ข้อมูล ที่จะสนับสนุน ประเด็นนั้น รวมถึงข้อมูลความกังวลของผู้ที่เป็นตัวช่วย
2. ในความไม่เข้าใจ หรือเห็นต่าง มีความเห็นร่วมอยู่ ต้องขยายมัน
3. ในทุกๆเรื่องราวมีความจริง ที่ถูกปกปิดและนำเสนอ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง อยู่ที่ว่า ผู้เผยความจริงเหล่านั้นเห็นประโยชน์สาธารณะแค่ไหน
4.ในทางการเมือง ไม่มีเทพบุตร หรือนางฟ้า ตลอดเวลา การจัดการผลประโยชน์ในทุกระดับ ต้องทำ อย่างเข้าใจและพัฒนาบนฐานความเป็นจริง และเคารพสิทธิ์ ในความเป็นมนุษย์
แม้ว่าหนัง จะเชียร์ usa แต่การได้เห็น วิธีจัดการ เรื่องราวต่างๆใรประเด็นนโยบาย บางทีเนื้อหานโยบายไม่สำคัญเท่ากับ การจิบน้ำชาเล่าเรื่องราวในอดีตของผู้มีอำนาจตัดสินใจ....

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ตัวช่วยเพื่อป้องกันและติดตาม การใช้เน็ตของเด็กบนwifi ที่บ้าน



applications to protect and monitor your children's online 


  สองวันก่อน เล่าให้ฟังถึง คำแนะนำของการจัดการป้องกันและแก้ไขเด็กติดเกม ซึ่งส่วนหนึ่งพบว่า ข้อคำแนะนำ คือการควบคุมการเข้าถึงเกม ของเด็ก ซึ่งในทางปฏิบัติ ก็พบว่า น่าจะทำได้ยาก  จึงมองหาตัวช่วย ที่มาช่วยคุณพ่อแม่ บริการจัดการได้บ้าง 
  • ถ้าเป็นเกม แบบไม่ออนไลน์ การคุมที่เครื่องที่ใช้ในการเล่นเกม น่าจะจัดการได้ง่่าย 
  • ถ้าเป็นเกมออนไลน์ หรือการใช้อินเตอร์เน็ต  คงจะคุมลำบาก อีกทั้ง อุปกรณ์ก็พกพาไปเล่นได้ทุกที ในบ้าน 
     แต่ จุดช่วยเหลือของพ่อแม่คือ การติดตามเฝ้าระวัง ผ่านการใช้อินเตอร์เน็ตบนสัญญาณwifi ในบ้าน ซึ่งจะช่วยทำให้เฝ้าระวังและควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ต ของเด็ก ๆ บนอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับ wifi ได้  แน่นอนที่สุดว่าต้องทำไปพร้อมๆ กับข้อตกลง ต่างๆ ที่ต้องพูดคุยกับเด็ก พร้อมๆ กับความสามารถทางเทคโนโลยีของพ่อแม่ 

      คลิปตัวนี้นำมาให้ดู เพื่อให้เห็นไอเดียว่า ระบบการบริหารจัดการ การเข้าถึงอินเตอร์เน็ต ของ wifi  ที่บ้าน จะช่วยผู้ปกครองจัดการควบคุม เวลาและเนื้อหาที่เด็กจะเข้าถึงได้อย่างไร ส่วนความเข้มข้นของการควบคุมป้องกัน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของแต่ละบ้านนะครับ

      อยากให้ผู้ประกอบการในไทย มีโปรโมชั่นแบบนี้เป็นทางเลือกให้กับผู้ปกครองบ้าง เพื่อเป็นตัวช่วยพ่อแม่ผู้ปกครองก็ดี

     


แนวทางปฏิบัติของผู้ปกครอง (เน้นที่ผู้ปกครอง) เมื่อลูกหลานติดเกมแล้ว (2)




    เมื่อวานพูดถึงเรื่องการสื่อสารเมื่อลูกติดเกม มาวันนี้ จะมาเล่าถึง คำแนะนำในการเลี้ยงดู ในคู่มือคำแนะนำสำหรับผู้ปกครองเรื่องการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ของเด็กและวัยรุ่น** ได้ให้คำแนะนำในการเลี้ยงดูเด็กเมื่อติดเกม ดังนี้

คำแนะนำที่ 2 การเลี้ยงดู เมื่อเด็กติดเกม 
1.มีเวลากับครอบครัวให้มากขึ้นพาเด็กออกไปนอกบ้านเพื่อไปทำกิจกรรมที่ชอบทดแทน 
2.ผู้ปกครองร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา 
3 ผู้ปกครองเป็นแบบอย่างขอการมีงานอดิเรก การมวินัยในตนเอง
4.ตั้งเครือข่ายผู้ปกครองในห้องเรียนของลูก หรือชุมชนเพื่อช่วยกันดูแล พาเด็ก ๆ ไปทำกิจกรรมสร้างสรรค์กัน 

คำแนะนำในชุดนี้ มี คำสำคัญคือ  ผู้ปกครองตกลงร่วม มีเวลาให้ครอบครัว และพาทำกิจกรรมสร้างสรรค์ ทดแทนเวลาในการเล่นเกม 

คำแนะนำที่ 3 การตั้งกติกาและจำกัดการเข้าถึงเกม 
  • การจำกัดเวลา (ซึ่งคงต้องตกลงกันมาก่อนให้เด็กเล่นเกม) 
          กำหนดเวลา ไม่เกิน 1 ชํ่วโมงในวันธรรมดา 
          กำหนดเวลา ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ในวันหยุด 

  • ฝีกให้เด็กมีวินัย รู้จักแบ่งเวลา สามารถเล่นเกมได้ เมื่อทำภารกิจประจำวัน และภารกิจที่ได้รับมอบหมาย 

  • จำกัดการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของเด็ก เช่นการยกเลิกการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง  การเปลี่ยนมาใช้ air card (ข้อนี้ ผู้เขียนเห็นว่า ยากสุดๆๆ แต่ถ้าทำได้ก็จะดีมาก แต่คงจะได้เฉพาะคอม เพราะเดี๋ยวนี้ เด็กมีมือถือและเท๊ปเล็ตอยู่แล้ว  ) 

พรุ่งนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงคำแนะนำเมื่อต้องพาเด็กติดเกมไปหาหมอ 

มีคำแนะนำของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพิ่มเติม     วิธีรักษาเด็กติดเกมอย่างสั้นที่สุด     

ข้อมูลจาก หนังสือคำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง เรื่องการเล่มเกมคอมพิวเตอร์ของเด็กและวัยรุ่น โดย ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย  

แนวทางปฏิบัติของผู้ปกครองเมื่อลูกหลานติดเกมแล้ว (1)



   

แนวทางปฏิบัติของผู้ปกครองเมื่อลูกหลานติดเกมแล้ว (1)

      ใน คู่มือคำแนะนำสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เรื่องการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ของเด็กและวัยรุ่น 
โดย ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำ สำหรับผู้ปกครองเมื่อบุตรหลาน ติดเกมแล้ว ดังนี้

1. ตั้งสติ และสื่อสารและรักษาสัมพันธภาพไว้ 

  •   ตั้งสติและรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดี และต้องไม่ทำ 4 อย่างดังนี้
    •  ไม่ใข้อารมณ์
    •  ไม่ตำหนิ หรือว่ารุนแรง
    • ไม่กล่าวโทษเด็ก 
    • ไม่หักดิบการเล่นเกมของเด็กด้วยวิธีแข็งกร้าว

  • พูดคุยกับเด็ก ด้วยคำพูดเชิงบวก เช่น  "พ่อเข้าใจว่าลูกชอบเล่นเกมมากและพ่อก็เชื่อว่าเกมให้อะไรดีๆๆ กับลูกหลายอย่าง.....แต่พ่อเป็นห่วงว่าลูกจะใช้เวลากับมันมากเกินไปจนเกิดปัญหากับลูก"
  • ปลูกฝังทัศนคติในการเล่นเกม ว่า เกมสมดุล ชีวิตสมดุล  หมายถึงถ้าเด็กจัดสรรเวลาการเล้นได้อย่างสมดูลโดยไม่ละเลยกิจกรรมอื่นๆ ที่สำคัญในชีวิตของเขา เขาจะมีชีวิตอย่างสมดูล 
  • สื่อสารกับเด็กให้ชัดเจนว่า  ผู้ปกครองไม่ได้ต่อต้าน การเล่นเกม เพียงแต่ให้เด็กรับเอาเกม เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆของชีวิตที่ควบคุมได้  ไม่ให้เป็นทั้งหมดของชีวิต และปล่อยให้เกมควบคุมชีวิตเด็ก 
สรุปว่า  ผุ้ปกครองต้อง คุมสติ  ไม่หักดิบ และพูดเชิงบวกให้เข้าใจ  เน้นเกมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ควบคุมได้ 

ลองอ่านความเห็นของจิตแพทย์ต่อเรื่องนี้ ได้ที่  วิธีแก้เด็กติดเกม

คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง:ก่อนอนุญาตให้เด็กเล่นเกม




เวลาพูดถึง เด็ก ติด คอมพิวเตอร์ มือถือ และเทปเล็ต   มักจะมีในสองส่วนคือ ติดเกม และติด Social Media  ซึ่งทั้งสองส่วน ก็มักจะนำพาความวิตกกังวัลต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง มาเสมอ ว่าจะมีวิธีการจัดการอย่างไร
คงเริ่มต้นที่กรณี ติดเกม ก่อน
คำแนะนำของชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ในหนังสือ เรื่องการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ของเด็กและวัยรุ่น ได้แนะนำผู้ปกครอง ในการดูแลเด็ก กรณี ก่อนเล่นเกม  ดังนี้
1. เนื้อหาเกม    ผู้ปกครองต้องดูเนื้อหาเกมให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยของเด็ก ได้แก่

  •     ต่ำกว่า 3 ปี ไม่แนะนำให้เล่มเกมคอมพิวเตอร์  
  • 3-6 ปี เกมส่งเสริมพัฒนาการ เกมการศึกษา
  • ุ6-10 ปี เกมที่ไม่รุนแรง เช่นเกมกีฬา เกมการ์ตูน ใช้ภาษาสุภาพ
  • 10-13 ปี เกมต่อสู้เล็กน้อย แต่ไม่ควรมีฉากความรุนแรง
  • 13 ปีขึ้นไป เกมที่อาจมีความรุุนแรงมากขึ้น มีฉากนองเลือด แต่ต้องระวังเกม ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม เช่น เรื่องเพศ ยาเสพติด คำหยาบคาย หรือ เนื้อหาที่ยุยงให้ทำผิด
2 เวลาและความรับผิดชอบ 
     หนังสือแนะนำให้ผู้ปกครอง กำหนดเวลา เล่นเกม ไว้ดังนี้

  • 1 ชั่วโมง ในวันธรรมดา 
  • 2 ชั่วโมง ในวันหยุด (เล่นเกิน 2 ชั่วโมง ต่อวันในวันหยุด จะเสี่ยงต่อการติดเกม 2.5 เท่า)
  • 1 ครั้ง ไม่ควรเกินชั่วโมง
  • 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอนไม่ควรเล่น 
3. กิจกรรมเสริม ในข้อนี้ เป็นคำแนะนำเพื่อให้เด็กให้ทำกิจกรรมอย่างอื่น บ้าง เช่น
  • งานอดิเรกให้เด็กทำ ไม่ว่าจะออกกำลังกาย เล่นกีฬา เล่นดนตรี
  • ผลกระทบต่อกิจกรรมอื่นๆ  
  • ไม่ควรให้เด็กเล่นเกมขณะทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ระหว่างการเดินทางบนทางสาธารณะ
4.การแนะนำเรื่องความปลอดภัย  ผู้ปกครองควรแนะนำลูกถึงความปลอดภัย ในการเล่นเกม โดยเฉพาะเกมออนไลน์  ดังนี้

  •   การไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่นบ้านพัก  เบอร์โทร  เป็นต้น
  • ในกรณีที่ลูกไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์นอกบ้าน ควรผู้ปกครองควรรู้จักสถานที่ และเฝ่าระวัง
  • ควรติดตามเรื่องการใช้เงินในการเล่นเกมของเด็ก 

5.การจำกัดการเข้าถึง การกำหนดค่าบางอย่างกับตัวเครื่อง 
  • วางอุปกรณ์ไว้ส่วนกลางของบ้าน (แต่สำหรับ Tablet และ สมาร์โฟน อาจจะต้องประยุกต์เอา)
  • ใส่รหัสผ่านสำหรับอุปกรณ์เล่นเกม ให้เมื่อเด็กได้ทำการบ้าน หรือทำกิจกรรมที่ตกลงกันไว้เสร็จแล้ว  (ที่สำคัญต้องเปลี่ยนบ่อยๆ กรณีนี้ ผู้ปกครอง ต้องมีทักษะคอมพิวเตอร์ระดับหนึ่่ง) 
  • ลงโปรแกรมการติดตามการใช้อินเตอร์เน็ต หรือการเล่นเกมของเด็ก  
จากที่อ่านดู คำแนะนำก่อนการอนุญาตให้เล่นเกม นี้ ข้อ 1 -ข้อ 4 ผู้ปกครอง สามารถพูดคุยทำความเข้าใจกับเด็ก และอาจจะต้องไปทำความรู้จักร่านเกมในชุมชนที่เด็กไปเล่นบ้าง 
ส่วนข้อที่ 5 เรื่องการจำกัดการเข้าถึง ผู้ปกครองคงต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ tablet พอสมควร กรณีหลังนี้ อาจจะต้องมีพี่เลี่ยง หรือหน่วยให้คำปรึกษาให้ผู้ปกครอง ในพื้นที่และชุมชน สำหรับผู้ปกครองที่มีข้อจำกัดเรื่องความรู้ด้านไอที   หรือกรณี tablet และ smart phone ผู้ประกอบการอาจจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ ช่วยเหลือ ผู้ปกครอง เพื่อป้องกันเด็กติดเกม 

พรุ่งนี้ จะมาเล่าว่า เมื่ออนูญาตให้เด็ก เล่นเกมได้แล้ว ผู้ปกครองต้องทำอะไรต่อไป   
ดาวน์โหลดคู่มือได้ที่ 


http://www.healthygamer.net/sites/default/files/scribd/internet_edit_18-2-57.pdf

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประชารัฐ : บทเรียนความร่วมมือกับภาคเอกชนประสบการณ์จาก UN

       "ประชารัฐ" คำนี้ได้ยินบ่อยในช่วงนี้ เป็นแนวทาง ที่รัฐบาลจะนำมากำหนดนโยบาย ในการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม  โดยมุ่งเน้นไปที่การยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้ก้าวไปข้างหน้า  เลยนึกถึง หนังสือ หนึ่งเล่ม ที่ซื้อมานานแล้ว เรื่อง  ฺ Building Partnerships  ของ United-Nation ซึ่งสรุปบทเรียนจากการทำงานร่วมกันระห่ว่าง ระบบการทำงานของ UN และ ภาคส่วนเอกชน  ที่ผ่านมา โดยมีประสบการณ์  เงื่อนไข  ที่ UN นำมาใช้สำหรับการสร้างความร่้วมมือ  และพัฒนาให้บรรลุ เป้าหมายร่วมกัน  เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาแนวทางประชารัฐ  ที่มุ่งเน้นความร่วมมือ ของภาคส่วนต่างๆ  และน่าจะมีแนวทางในการลดช่องว่างในการทำงานร่วมกัน

  • ภาครัฐ (โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบัน ที่ถูกตั้งคำถามถึงความเป็นประชาธิปไตย) 
  • ภาคเอกชน (ที่ถูกเรียกว่านายทุน ในความหมายที่ไม่ค่อยดี)  
  • ภาคประชาสังคม และพลเมือง (ที่ยังโดนจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น และโดนมองว่า  ขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจ) 


ความจำเป็นในการพัฒนาความร่วมมือ 
 
 UN พูดถึงลักษณะของสถานการณ์ทางสังคมในศตวรรษที่ 21

  • ปัญหาสังคมมีซับซ้อน และหลายมิติ
  • รวยกระจุก จนกระจาย เหลื่้อมล้ำ
  • ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นวัตกรรม
  • ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และโรคใหม่ๆ
      ในปัญหาที่ท้าทาย UN พบวิธีการทำงานของรัฐบาลแบบภาคส่วนเดียว ( Do it alone) ไม่น่าจะสามารถแก้ไขปัญหาความซับซ้อนได้  จึงจำเป็นที่ต้องมีภาคส่วนนอกรัฐบาล เข้ามาร่วม ในการทำงาน ซึ่ง UN ได้ประสบการณ์การทำงานจากนานาประเทศ  ว่าในการผลักดันเรื่องสำคัญๆ ในการลดปัญหาสังคม ต้องมีภาคส่วนใหม่ๆ ได้แก่ ภาคประชาสังคม และภาคส่วนธุรกิจ เข้ามาเกี่ยวข้อง  ๊UN ได้พบว่า หลักการที่จะทำให้แก้ไขปัญหาการพัฒนาประเทศ มีความก้าวหน้า  จากความร่วมมือของหลายภาคส่วน โดยมีหลักการที่สำคัญ 3 ส่วนได้แก่ 
  • ธรรมาภิบาล Good Governance ( ประชาธิปไตย,การต่อต่อต้านคอรัปชั่น เป็นต้น)
  • การตลาดที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ (fair and efficient market) (การพัฒนาผลิตภัณฑ์ , นวัตกรรม,การแข่งขันที่เป็นธรรม)
  • การมีส่วนร่วมของพลเมือง ( Civic Engagement) (กิจกรรมของภาคประชาสังคม , สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น , สิทธิเสรีภาพสื่อ เป็นต้น) 
     UN พบว่า หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 และเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมานำไปสู่ การปรับ วาระการพัฒนาของประชาคมโลก ในยุคศตวรรษที่ 21 ที่มีแนวโน้มการทำงานรูปแบบใหม่ ๆ ที่ต่างจากเดิม คือ 
  • แนวทางการทำงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย ( cooperative multi stakeholder approach) 
  • การทำงานในระดับนานาชาติ  ระดับชาติและระดับท้องถิ่น( national and local level)
ปัจจัยที่กำหนดทิศทางของการพัฒนาความร่วมมือในการพัฒนา 
  • การเพิ่มขึ้นและการมีอิทธิพลขององค์กรนอกภาครัฐ  ซึ่งประกอบไปด้วย 
    • ภาคธุรกิจ (Private sector) ,
    • องค์กรภาคประชาสังคม และกลุ่มแรงงาน ,
    • กลุ่มนอกกฏหมาย (uncivil society) 
    • ความร่วมมือเก่าและใหม่ (Cooperation old and new) 
    • การเข้ามามีส่วนร่วมขององค์กรนอกภาครัฐ (Contribution of non state actors) 
  • ประเด็นความสนใจและความสำคัญ ของการพัฒนาของประชาคมโลก
  • การแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันของประชาคมโลก 
      การสร้างวาระร่วม (Toward Common Agenda)  ๊UN พบประสบการณ์ การทำความร่วมมือเพื่อให้เกิดวาระร่วมกันระหว่างภาคส่วนเอกชน และ UN ในการดำเนินงานพัฒนา
  • ผลกำไรธุรกิจและเป้าหมายสาธารณะ (private gain or public purpose)
  • การกำกับดูแล หรือ อาสาสมัคร (การขอความร่วมมือ )   (regulatory or voluntary approaches) 
  • พื้นที่แห่งการถกเถียงหาจุดร่วม  (An area of ongoing debate) 
  • ประเด็นสนใจที่จะสร้างวาระร่วม (key area of common agenda) 
    • การส่งเสริมพัฒนาภาคเอกชน เพื่อให้สามารถเปลี่ยนผ่านในภาวะเศรษฐกิจได้ 
    • การปรับปรุงการลดผลกระทบทางสังคมของภาคธุรกิจ 
    • การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและศักยภาพของภาคธุรกิจในการหนุนเสริม เป้าหมายของ UN ( ในหนังสือยกตัวอย่าง ประเด็นของประชาคมโลก ที่ต้องการความร่วมมือของภาคธุรกิจ)
    • การแชร์และการกระจายคุณค่าร่วมกัน ของความสำเร็จของสังคมและธุรกิจ 
ศักยภาพของความร่วมมือ (Potential benefit of cooperation) 
  • ทรัพยากรในการขับเคลื่อนของการพัฒนา
  • การสนับสนุนสำหรับคุณค่าของเป้าหมายและกิจกรรม
  • การพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์สังคมใหม่ ๆ 
  • การเรียนรู้ร่วมกันของภาคส่วนต่างๆ (ความไว้วางใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน)
  • การเข้าใจบทบาทของภาคส่วนต่างๆ มากขึ้น 
  • ผลประโยชน์เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจ
    • โอกาสการขยายตลาด
    • ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น
    •  ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ 
    • สร้างนวัตกรรม ที่สร้างสรรค์
    • การพัฒนาบุคคลากร 
    • การเพื่มทักษะความเชี่ยวชาญ เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา
    • โอกาสความร่วมมือและเป็นเครือข่ายกับภาครัฐในการพัฒนาธุรกิจ
    • ***************************************

ชวนกันอ่าน 001 : ชวนกันแปลงมนุษย์ สู่ดิจิตัล

ชวนกันอ่าน 001  นิตยสาร MARKETEER  ฉบับที่ 215  ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561   สำหรับปกเล่มนี้ คือ เรื่อง  BECOME DIGITAL แปลงมนุษย์สู่ดิจิท...